มาเรียนรู้เรื่อง การตัดสินใจที่อาจเขย่าโลกกัน
WASHINGTON — ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวในวันพุธว่าคลังแสงนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ "เข้มแข็งและมีพลังมากกว่าที่เคยเป็นมา" หลังเตือนเกาหลีเหนือว่าอย่ามาแหยม
รัฐธรรมนูญสหรัฐมอบอำนาจให้สภาคองเกรสสามารถประกาศสงครามและจะให้ความสนับสนุนทางการเงิน ตามปกติ ประธานาธิบดีจะยื่นอุทธรณ์ต่อสภาคองเกรสเพื่อขออนุมัติในการประกาศสงคราม
อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีมีอำนาจชั่วคราวนาน 60 วันในการใช้กำลังโดยไม่ต้องรอรับการอนุมัติจากสภาคองเกรส แม้จะไม่สามารถต่อต้านการตัดสินใจนี้ได้แต่คองเกรสสามารถเลือกที่จะตัดเงินทุนสนับสนุนหากเห็นว่าการทำสงครามไม่มีผลดีต่อประเทศ
ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาสามารถใช้กำลังทหารต่อประเทศอื่นได้ หากเผชิญภัยคุกคาม สหรัฐฯอาจใช้กำลังในการระวังภัยแต่ไม่สามารถประกาศสงครามได้โดยใช้ข้ออ้างว่าอาจจะเกิดภัยคุกคาม
สหรัฐยังสามารถประกาศสงครามได้ หลังได้รับการอนุมัติจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เนื่องจากทางประเทศเป็นสมาชิกถาวร ทว่าสมาชิกถาวรอื่น ๆ อย่างเช่นจีนและรัสเซียสามารถวีโต้ได้
"การตัดสินใจใดๆในขณะนี้ของท่านประธานาธิบดี หรือการตัดสินใจไปแล้วในเดือนมกราคม จะต้องใช้เวลาหลายปีในการดำเนินการ" จอน วูล์ฟสแด็ล ผู้อำนวยการอาวุโสของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติเพื่อควบคุมการแพร่กระจายของอาวุธนิวเคลียร์และการควบคุมอาวุธของรัฐบาลโอบามาเผยกับวอชิงตันโพสต์ "ผมไม่ค่อยเชื่อในความคิดที่ว่าทรัมป์เชื่อว่าเขาได้เพิ่มความทันสมัยหรือปรับเปลี่ยนคลังแสงของเราเพราะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน"
ประเทศในเอเชียต่างก็มีความรู้สึกไม่พอใจต่อการแถลงการณ์ครั้งล่าสุดของประธานาธิบดีทรัมป์
"ทรัมป์ดูจะไม่เข้าใจว่าพันธมิตรคืออะไรและดูเหมือนจะไม่ค่อยคิดถึงพันธมิตรของเขาเมื่อเขาแถลงการณ์" ลี บยอง ชัล สมาชิกอาวุโสของสถาบันสันติภาพและความร่วมมือในกรุงโซลกล่าวกับนิวยอร์ก ไทม์ส "ไม่มีประธานาธิบดีคนใดของอเมริกาที่กล่าวถึงตัวเลือกทางทหารอย่างง่ายๆอย่างที่เขาทำ เขาได้สร้างความตกใจให้กับประชาชนในเกาหลีใต้ที่ไม่ได้ต้องการสงครามในเกาหลี "
สหรัฐอเมริกาและเกาหลีเหนือเคยเกือบจะทำสงครามในปี 1994 หลังจากเปียงยางประกาศเจตนารมณ์ที่จะถอนตัวออกจากสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ วิกฤตดังกล่าวได้รับการแก้ไขหลังจากการประชุมระดับสูงของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐ จิมมี่ คาร์เตอร์และอดีตผู้นำเกาหลีเหนือในขณะนั้น
WASHINGTON — ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวในวันพุธว่าคลังแสงนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ "เข้มแข็งและมีพลังมากกว่าที่เคยเป็นมา" หลังเตือนเกาหลีเหนือว่าอย่ามาแหยม
รัฐธรรมนูญสหรัฐมอบอำนาจให้สภาคองเกรสสามารถประกาศสงครามและจะให้ความสนับสนุนทางการเงิน ตามปกติ ประธานาธิบดีจะยื่นอุทธรณ์ต่อสภาคองเกรสเพื่อขออนุมัติในการประกาศสงคราม
อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีมีอำนาจชั่วคราวนาน 60 วันในการใช้กำลังโดยไม่ต้องรอรับการอนุมัติจากสภาคองเกรส แม้จะไม่สามารถต่อต้านการตัดสินใจนี้ได้แต่คองเกรสสามารถเลือกที่จะตัดเงินทุนสนับสนุนหากเห็นว่าการทำสงครามไม่มีผลดีต่อประเทศ
ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาสามารถใช้กำลังทหารต่อประเทศอื่นได้ หากเผชิญภัยคุกคาม สหรัฐฯอาจใช้กำลังในการระวังภัยแต่ไม่สามารถประกาศสงครามได้โดยใช้ข้ออ้างว่าอาจจะเกิดภัยคุกคาม
สหรัฐยังสามารถประกาศสงครามได้ หลังได้รับการอนุมัติจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เนื่องจากทางประเทศเป็นสมาชิกถาวร ทว่าสมาชิกถาวรอื่น ๆ อย่างเช่นจีนและรัสเซียสามารถวีโต้ได้
"การตัดสินใจใดๆในขณะนี้ของท่านประธานาธิบดี หรือการตัดสินใจไปแล้วในเดือนมกราคม จะต้องใช้เวลาหลายปีในการดำเนินการ" จอน วูล์ฟสแด็ล ผู้อำนวยการอาวุโสของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติเพื่อควบคุมการแพร่กระจายของอาวุธนิวเคลียร์และการควบคุมอาวุธของรัฐบาลโอบามาเผยกับวอชิงตันโพสต์ "ผมไม่ค่อยเชื่อในความคิดที่ว่าทรัมป์เชื่อว่าเขาได้เพิ่มความทันสมัยหรือปรับเปลี่ยนคลังแสงของเราเพราะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน"
ประเทศในเอเชียต่างก็มีความรู้สึกไม่พอใจต่อการแถลงการณ์ครั้งล่าสุดของประธานาธิบดีทรัมป์
"ทรัมป์ดูจะไม่เข้าใจว่าพันธมิตรคืออะไรและดูเหมือนจะไม่ค่อยคิดถึงพันธมิตรของเขาเมื่อเขาแถลงการณ์" ลี บยอง ชัล สมาชิกอาวุโสของสถาบันสันติภาพและความร่วมมือในกรุงโซลกล่าวกับนิวยอร์ก ไทม์ส "ไม่มีประธานาธิบดีคนใดของอเมริกาที่กล่าวถึงตัวเลือกทางทหารอย่างง่ายๆอย่างที่เขาทำ เขาได้สร้างความตกใจให้กับประชาชนในเกาหลีใต้ที่ไม่ได้ต้องการสงครามในเกาหลี "
สหรัฐอเมริกาและเกาหลีเหนือเคยเกือบจะทำสงครามในปี 1994 หลังจากเปียงยางประกาศเจตนารมณ์ที่จะถอนตัวออกจากสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ วิกฤตดังกล่าวได้รับการแก้ไขหลังจากการประชุมระดับสูงของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐ จิมมี่ คาร์เตอร์และอดีตผู้นำเกาหลีเหนือในขณะนั้น
Category
🗞
News